ก่อนอื่น ผมขอแจ้งที่มาของข้อมูลใน BLOG นี้ก่อน เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้รวบรวมข้อมูล
ข้อมูลนี้ได้มาจาก E-Book กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าของข้อมูลคือ อาจารย์สุริยัน พินทอง ซึ่งสอดคล้องกับตำราจากหลายๆ สำนัก
ขอขอบคุณมากครับ และขออภัยด้วยครับเพราะวรรคตอนช่องไฟเพี้ยนเยอะเลย
ข้อมูลนี้ได้มาจาก E-Book กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าของข้อมูลคือ อาจารย์สุริยัน พินทอง ซึ่งสอดคล้องกับตำราจากหลายๆ สำนัก
ขอขอบคุณมากครับ และขออภัยด้วยครับเพราะวรรคตอนช่องไฟเพี้ยนเยอะเลย
ถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากยังหาหลักฐานมายืนยันอย่างชัดเจนไม่ได้ว่าชนชาติไทย มีถิ่นกำเนิดที่แท้จริงอยู่ที่บริเวณใด คงมีเพียงข้ออ้างอิงทฤษฎีและข้อสัน-นิษฐาน ว่ามีถิ่นกำเนิดในที่ต่างๆ กันไป ตามแต่ใครจะหาหลักฐานอ้างอิง หรือมีเหตุผลประกอบการนำเสนอพร้อมหลักฐานอ้างอิงได้ ซึ่งมีนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้ค้นคว้า ศึกษา เสาะแสวงหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์มายืนยันอยู่หลายท่าน ซึ่งแต่ละท่านก็ได้แสดงความคิดเห็นพร้อมทั้งเสนอพยานหลักฐานยืนยันแนวความคิดของตนเอง ซึ่งได้เสนอไว้เป็นแนวทางในการศึกษาถึงถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ดังนี้
วิลเลี่ยม กลิฟตัน ดอดด์ มิชชันนารีชาวอเมริกัน เคยเดินทางไปมณฑลยูนนานในประเทศจีน ระหว่าง พ.ศ.2450 – 2461 และได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับชนชาติไทย ชื่อ ชาติไทย : พี่อ้ายของคนจีน ซึ่งหลวงแพทย์นิติสวรรค์ ฮวดหลี หุตะโกวิท ได้แปลเป็นภาษาไทยว่า “ชนชาติไทย” ดอด์ด อธิบายว่า กลุ่มคนไทยมีเชื้อชาติสายมองโกล พูดภาษาไทย อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของจีน เรียกตนเองว่า “อ้ายลาว” (จีนเรียก ต้ามุง) ชนชาตินี้เคยครอบครองดินแดนประเทศจีนปัจจุบัน แต่ถูกจีนรุกรานจึงถอยร่นมาตั้งถิ่นฐานในมณฑลยูนนาน ไกวเจา กวางตุ้ง และกวางสี โดยอยู่ภายใต้การปกครองของจีน แต่มีคนไทยบางส่วนได้อพยพลงมาทางใต้ เข้าสู่คาบสมุทรอินโดจีนและได้ร่วมกันก่อตั้งอาณาจักรน่านเจ้าในเวลาต่อมา
ขุนวิจิตรมาตรา (รองอำมาตย์โทสง่า กาญจนาคพันธ์) ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในหนังสือ “หลักไทย” ว่าถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยู่ที่บริเวณเทือกเขาอัลไต ทางตอนเหนือของจีน (ติดกับมองโกเลีย) ต่อมาจึงได้อพยพลงไปทางใต้เพื่อหาที่อยู่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่า และได้ก่อตั้ง “นครลุง” ขึ้น หลังจากนั้นอพยพมาทางบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน แล้วสร้างเมืองใหม่ คือ “นครปา” หรือ “อ้ายลาว” ซึ่งต่อมาถูกจีนครอบครอง จึงอพยพลงมาทางใต้ เข้าสู่คาบสมุทรอินโดจีนและดินแดนประเทศไทยปัจจุบันตามลำดับ
2.บริเวณตอนกลางของประเทศจีน
เทเรียน เดอ ลา คูเปอรี เป็นชาวอังกฤษ และเป็นผู้เชียวชาญทางภาษาศาสตร์ของอินโดจีน ได้ศึกษาจากเอกสารจีน กล่าวว่า อาณาจักรต้ามุง ซึ่งเป็นกลุ่มชนชาติไทยในมณฑลเสฉวนของจีน ระยะแรกชนชาติจีนได้ยกย่องชนชาติไทยว่าเป็นชนชาติที่น่ายกย่อง เพราะต้ามุงหมายถึงเมืองใหญ่ และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ต่อมาจีนเริ่มรุกรานเข้ามาในอาณาจักรต้ามุง คนไทยจึงได้อพยพลงมาทางใต้บริเวณมณฑลเสฉวนและเข้าสู่ตอนเหนือของคาบสมุทรอินโดจีนในระยะต่อมา
2.บริเวณตอนกลางของประเทศจีน
เทเรียน เดอ ลา คูเปอรี เป็นชาวอังกฤษ และเป็นผู้เชียวชาญทางภาษาศาสตร์ของอินโดจีน ได้ศึกษาจากเอกสารจีน กล่าวว่า อาณาจักรต้ามุง ซึ่งเป็นกลุ่มชนชาติไทยในมณฑลเสฉวนของจีน ระยะแรกชนชาติจีนได้ยกย่องชนชาติไทยว่าเป็นชนชาติที่น่ายกย่อง เพราะต้ามุงหมายถึงเมืองใหญ่ และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ต่อมาจีนเริ่มรุกรานเข้ามาในอาณาจักรต้ามุง คนไทยจึงได้อพยพลงมาทางใต้บริเวณมณฑลเสฉวนและเข้าสู่ตอนเหนือของคาบสมุทรอินโดจีนในระยะต่อมา
หลวงวิจิตรวาทการ และ พระยาอนุมานราชธน ได้วิเคราะห์เรื่องถิ่นกำเนิดของไทยไว้ในหนังสือเรื่อง “งานค้นคว้าเรื่องเชื้อชาติไทย” ว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่ในดินแดนที่เป็นมณฑลเสฉวน ฮูเป อันฮุยและเกียงสี บริเวณตอนกลางของจีน ต่อจากนั้นจึงอพยพลงมาทางตอนใต้ที่เป็นมณฑลยูนนานและแหลมอินโดจีน
3.บริเวณตอนใต้ของจีน
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ (บิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์ไทย) ได้แสดงพระราชดำริไว้ในนิพนธ์เรื่อง “แสดงบรรยายพงศาวดารสยามและลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ” ว่า แต่เดิมชนชาติไทยมีภูมิลำเนาอยู่ทางตอนใต้ของจีน แถบมณฑลกวางตุ้ง และยูนนาน ต่อมาถูกจีนรุกรานจึงอพยพเพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ โดยแยกออกเป็น 2 สายดังนี้
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ (บิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์ไทย) ได้แสดงพระราชดำริไว้ในนิพนธ์เรื่อง “แสดงบรรยายพงศาวดารสยามและลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ” ว่า แต่เดิมชนชาติไทยมีภูมิลำเนาอยู่ทางตอนใต้ของจีน แถบมณฑลกวางตุ้ง และยูนนาน ต่อมาถูกจีนรุกรานจึงอพยพเพื่อแสวงหาดินแดนใหม่ โดยแยกออกเป็น 2 สายดังนี้
สายที่ 1 อพยพไปทางทิศตะวันตกแถบลุ่มน้ำสาละวินในพม่า และบริเวณรัฐอัสสัมของอินเดียปัจจุบัน เรียกว่า “ไทยใหญ่”
สายที่ 2 อพยพลงมาทางใต้แถบบริเวณแคว้นตังเกี๋ย สิบสองจุไท สิบสองปันนา ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน เรียกว่า “ไทยน้อย” ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษของคนไทยปัจจุบัน
อารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในบริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันนี้ ได้มีนักโบราณคดี นักมนุษยวิทยาและนักชาติพันธุ์วิทยา ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ในยุดที่ยังไม่มีตัวอักษรสำหรับใช้บันทึกเรื่องราวของตนเป็นหลักฐานและความรู้ทางเทคโนโลยี ก็อยู่ในระดับต่ำซึ่งเรียกว่า “ยุคหิน” และ “ยุคโลหะ” อันเป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏว่าได้ค้นพบโครงกระดูก เครื่องมือ เครื่องใช้ของมนุษย์ในสมัยดังกล่าวเป็นจำนวนมาก สันนิษฐานว่า ในดินแดนอันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยปัจจุบันนี้เคยเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลกแห่งหนึ่งก่อนจะถึงยุดที่มีตัวอักษรบันทึกเรื่องราว แหล่งที่ค้นพบอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยที่สำคัญ คือ
ถ้ำผี อยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือที่ทำด้วยหิน มีอายุรุ่นเดียวกับโครงกระดูกมนุษย์ที่ค้นพบที่กรุงปักกิ่งของจีน
บ้านเชียง เป็นตำบลหนึ่งเป็นอำเภอหนึ่ง ของจังหวัดอุดรธานี มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องปั้นดินเผาที่มีการเขียนลวดลายด้วยสีสรรอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังพบปลายหอกทำด้วยสำริด กำไลแขนสำริด ลูกปัดแก้ว ซึ่งมีอายุมากกว่า 7,000-5,000 ปีมาแล้ว หรือราว 1,800 ปีก่อนพุทธกาล ถือเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมอันเก่าแก่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง
ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ได้ศึกษาโครงกระดูกมนุษย์ยุดหินที่ค้นพบบริเวณบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี เปรียบเทียบกับโครงกระดูกของประเทศไทยในปัจจุบัน พบว่ามีความคล้ายคลึงกันเกือบทุกประการ มีเครื่องปั้นดินเผาคล้ายกัน จึงมีความเห็นว่าดินแดนภาคกลางของประเทศไทยปัจจุบันนี้ น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนที่เป็นบรรพบุรุษของชนชาติไทยปัจจุบัน
ศาสตราจารย์ ชิน อยู่ดี ผู้เชียวชาญทางด้านโบราณคดีไทย ได้เขียนหนังสือเรื่อง “สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย” เสนอว่า จากการสำรวจค้นคว้าด้านโบราณคดี ได้ปรากฏร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ในดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุดโลหะ ต่อมาจนถึงยุคประวัติศาสตร์ โดยมีการสืบเนื่องทางวัฒนธรรมจนถึงปัจจุบัน
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชนชาติไทย
มีนักประวัติศาสตร์หลายท่านได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย ได้เขียนอธิบายไว้หลายแนวทาง พอสรุปได้ดังนี้
นายเอเตียน เอโมนิเอร์ ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่องประเทศกัมพูชา เมื่อปี พ.ศ.2443 ว่า “มีครอบครัวเชื้อชาติไทยใหญ่ ซึ่งเรียนว่า “ไทย” ที่แปลกันว่าเสรีชน ประกอบด้วยหมู่ชนมากมายหลายสาขา มีความสัมพันธ์อย่างเครือญาติใกล้ชิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางภาษา ชนส่วนใหญ่ของเชื้อชาติดังกล่าวได้แก่ ฉาน ลาว หรือลาวเฉียง ผู้ไทและชาวสยาม เมื่อก่อนคริสต์ศักราช ชนชาตินี้ได้มีถิ่นฐานอยู่ในที่ราบสูงยูนาน หรือธิเบตตะวันออก ต่อมาได้เคลื่อนย้ายลงมาตามทางลาดเอียงของลำน้ำ เข้ายึดครองลุ่มน้ำหลายแห่งในประเทศจีนตอนใต้ และได้แผ่ลงมาทางใต้เหมือนน้ำไหลอย่างแรง ครอบคลุมที่ราบในแหลมอินโดจีนเกือบทั้งหมด และได้ขับไล่พวกชาวป่าชาวดอยเจ้าของถิ่นเดิมให้เข้าไปอยู่ในป่าดง และภูเขา ชนชาติไทยก็เข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว คงเหลือดินแดนให้แก่พวกพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว คือ พวก ญวน เขมร และมลายู
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางภาษา ชนส่วนใหญ่ของเชื้อชาติดังกล่าวได้แก่ ฉาน ลาว หรือลาวเฉียง ผู้ไทและชาวสยาม เมื่อก่อนคริสต์ศักราช ชนชาตินี้ได้มีถิ่นฐานอยู่ในที่ราบสูงยูนาน หรือธิเบตตะวันออก ต่อมาได้เคลื่อนย้ายลงมาตามทางลาดเอียงของลำน้ำ เข้ายึดครองลุ่มน้ำหลายแห่งในประเทศจีนตอนใต้ และได้แผ่ลงมาทางใต้เหมือนน้ำไหลอย่างแรง ครอบคลุมที่ราบในแหลมอินโดจีนเกือบทั้งหมด และได้ขับไล่พวกชาวป่าชาวดอยเจ้าของถิ่นเดิมให้เข้าไปอยู่ในป่าดง และภูเขา ชนชาติไทยก็เข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว คงเหลือดินแดนให้แก่พวกพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว คือ พวก ญวน เขมร และมลายู
พันตรี เดวิด ชาวอังกฤษ ได้เขียนไว้ในหนังสือ “ไทยในยูนาน” ว่า คนจีนในยูนนานกล่าวว่า ชาวกวางตุ้งนั้นเป็นเชื้อชาติฉาน (ไทยใหญ่) มีรูปร่างหน้าตาของชาวจีนตอนใต้กับพวกฉานทางเหนือเหมือนกันมาก อาจเป็นไปได้ว่าในสมัยหนึ่งพวกฉาน ได้ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในประเทศจีนทางด้านทิศใต้ของแม่น้ำยังจื้อ แต่ส่วนมากถูกพวกจีนกลืนไป
พันโทมอริส อาบาดี ชาวฝรั่งเศส อธิบายว่า กลุ่มเชื้อชาติของกลุ่มคนที่เรียกชื่อว่า “ไทย” เป็นกลุ่มสำคัญที่สุดในบรรดาหมู่ชนทั่งหลายที่ได้พบในประเทศจีนตอนใต้ และในอินโดจีนทั้งหมด เป็นกลุ่มที่รวมหมู่มากมายหลายประเภท แต่มีลักษณะสำคัญที่เหมือนกันในทางภาษา ขนบประเพณี และจารีตวัฒนธรรม
นายดอชเรน ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นสมาชิกราชบัณฑิตยสภาอังกฤษ เกี่ยวกับทวีปเอเซีย ให้คำอธิบาย
ว่าเชื้อชาติไทย แบ่งแยกเรียกชื่อตามหมู่เหล่าหลายชื่อ แต่เป็นเชื่อชาติเดียวกัน ได้ยึดครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่าคนเชื้อชาติอื่นๆ ในแหลมอินโดจีน ในอัสสัม ซึ่งเรียกว่า “อาหม” ตลอดแนวเขตแดนระหว่างพม่ากับจีน แบ่งแยกเป็นหลายพวก และบางพวกก็เป็นอิสระอย่างครึ่งๆ กลางๆ เรียกชื่อตามที่พม่าเรียกว่า “ฉาน” ชนเชื้อชาติเดียวกันนี้ได้แผ่ออกไปทางใต้ใช้ชื่อว่า “ลาว” ยึดครองพื้นที่ระหว่างแม่น้ำสาละวินกับแม่น้ำโขงตอนใต้ลงไป รู้จักกันมากที่สุด และเป็นเชื้อชาติที่มีอารยธรรมสูงที่สุด คือ “ไทยสยาม” ซึ่งได้ตั้งอาณาจักรที่มีอำนาจอยู่ทางฝั่งทะเล
ศาสตราจารย์แตริอัง เดอลาคุเปอรี ชาวอังกฤษ ได้ตรวจสอบภาษาพูดของชาวจีนสมัยโบราณ พบว่าคำพูดของหมู่ชนที่จีนเรียกว่า “คนป่า” ในสมัยโบราณนั้น แยกออกได้เป็นสองสาขา คือ บางคำตรงกับภาษาไทย บางคำตรงกับภาษามอญและญวน เมื่อลองตรวจนับดูก็พบว่าในบรรดาคำ 19 คำ จะเป็นภาษาไทย 12 คำ นอกนั้นเป็นภาษามอญและญวน และมีอยู่หลายคำที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ด้วยเหตุนี้ศาสตราจารย์คุเปอรีจึงถือว่า หมู่ชนที่ชาวจีนเรียกว่าคนป่านั้นต้องเป็นเชื้อชาติหนึ่งของชนชาติ “มอญไทย” โดยที่พันธุ์มอญได้เคลื่อนลงมาทางใต้ก่อนพันธุ์ไทย และมากลายเป็น มอญ เขมร ญวน ในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ลาคุเปอรี ได้พบจดหมายเหตุจีนกล่าวถึงชนชาติไทยเป็นครั้งแรกในรัชสมัย
พระเจ้ายู้ของจีน เมื่อ 1654 ปีก่อนพุทธศักราช ชนชาติไทยได้ถูกระบุไว้ในรายงานการสำรวจภูมิประเทศของจีนในครั้งนั้น แต่จดหมายเหตุจีนเรียกชนชาติไทยว่า “มุง” และบางแห่งเรียก “ต้ามุง” คือมุงใหญ่ ถิ่นที่อยู่ของชนชาติไทยดังกล่าวนี้ อยู่ในเขตมณฑลเสฉวนของจีนในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในพื้นที่จีนกลางค่อนไปทางตะวันตก มีจดหมายเหตุของจีน กล่าวถึงชนชาติไทย ได้เรียกชื่อไทยเป็นสองพวก คือ “ลุง” กับ “ปา” อาจจะเป็นได้ว่า ทิวเขากุยลุง ได้ชื่อมาจากไทยพวกที่จีนเรียกว่าลุง คำว่ากุย เป็นคำไทย แปลว่า “เขา” นอกจากนั้นยังมีชนชาติอีกพวกหนึ่ง อยู่ในพื้นที่ระหว่างมณฑลโฮนาน ฮูเปและอันฮุย แล้วได้ขยายตัวออกไปถึงทิวเขากุยลุง ทางด้านตะวันตก เราก็จะได้พบชนชาติไทยที่เรียกชื่อว่า มุง ลุง ปา ปังและลาว บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำแยงซีเกียง ครอบครองดินแดนตั้งแต่มณฑลเสฉวนภาคตะวันตก ต่อเนื่องทางด้านตะวันออกจนเกือบถึงทะเลและย้อนขึ้นไปทางเขตมณฑลเกียงสู ทิวภูเขาลาวในแถบนี้ก็อาจจะได้ชื่อมาจากพวกไทยที่เรียกตัวเองว่า “ลาว” นี้เอง
พระเจ้ายู้ของจีน เมื่อ 1654 ปีก่อนพุทธศักราช ชนชาติไทยได้ถูกระบุไว้ในรายงานการสำรวจภูมิประเทศของจีนในครั้งนั้น แต่จดหมายเหตุจีนเรียกชนชาติไทยว่า “มุง” และบางแห่งเรียก “ต้ามุง” คือมุงใหญ่ ถิ่นที่อยู่ของชนชาติไทยดังกล่าวนี้ อยู่ในเขตมณฑลเสฉวนของจีนในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในพื้นที่จีนกลางค่อนไปทางตะวันตก มีจดหมายเหตุของจีน กล่าวถึงชนชาติไทย ได้เรียกชื่อไทยเป็นสองพวก คือ “ลุง” กับ “ปา” อาจจะเป็นได้ว่า ทิวเขากุยลุง ได้ชื่อมาจากไทยพวกที่จีนเรียกว่าลุง คำว่ากุย เป็นคำไทย แปลว่า “เขา” นอกจากนั้นยังมีชนชาติอีกพวกหนึ่ง อยู่ในพื้นที่ระหว่างมณฑลโฮนาน ฮูเปและอันฮุย แล้วได้ขยายตัวออกไปถึงทิวเขากุยลุง ทางด้านตะวันตก เราก็จะได้พบชนชาติไทยที่เรียกชื่อว่า มุง ลุง ปา ปังและลาว บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำแยงซีเกียง ครอบครองดินแดนตั้งแต่มณฑลเสฉวนภาคตะวันตก ต่อเนื่องทางด้านตะวันออกจนเกือบถึงทะเลและย้อนขึ้นไปทางเขตมณฑลเกียงสู ทิวภูเขาลาวในแถบนี้ก็อาจจะได้ชื่อมาจากพวกไทยที่เรียกตัวเองว่า “ลาว” นี้เอง
เซอร์ยอร์ซ สก็อต ชาวอังกฤษผู้เขียนประวัติศาสตร์พม่าได้เขียนความตอนหนึ่งว่าเชื้อชาติไทยเป็นเชื้อชาติแผ่ไพศาลที่สุดในแหลมอินโดจีน ชาวอาหมในแคว้นอัสสัมเป็นฉาน ชาวฮักกาในกวางตุ้งเป็นพวกที่ไปจากฉาน อาจจะเป็นไปได้ว่าเชื้อชาติไทยประกอบส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในสี่มณฑลทางตอนใต้ของจีน
เรเวอเรนต์ เบอร์กวอล นักบวชชาวอังกฤษ กล่าวว่า ไทยในมณฑลกวางสี ตามอำเภอชนบทมาก
หลาย ปกครองโดยหัวหน้าของเขาเองที่สืบเชื้อสายต่อกันมาไม่พูดภาษาจีน และถือพวกถือหมู่ ถึงขั้นไม่ยินดีรับอารยธรรมจีน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น